ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เกิดข่าวใหญ่ในแวดวงพลังงานที่เชื่อมโยงถึงสถานการณ์ในเมียนมาอย่างมาก หลังจากที่บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. สผ. ประกาศซื้อหุ้นเพิ่มและเข้าเป็นผู้ดำเนินงานในโครงการขุดเจาะและขนส่งก๊าซธรรมชาติในแหล่งยาดานา ประเทศเมียนมา จากการที่ บริษัท TotalEnergies บิ๊กพลังงานระดับโลกจากฝรั่งเศส ประกาศถอนการลงทุนจากโครงการนี้ด้วยเหตุผลด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงของกองทัพเมียนมาต่อประชาชนตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร ซึ่งทาง Total และ Chevron ได้ออกมาประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แหล่งข่าวหลายสำนักระบุว่า ปตท. สผ. จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP จะเข้าทำการควบคุมการดำเนินงานในแหล่งก๊าซยาดานา บริเวณอ่าวเมาะตะมะ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แหล่งก๊าซสำคัญในเมียนมาที่บริษัท ปตท.สผ. เข้าร่วมลงทุน (อีก 2 แห่ง ได้แก่ แหล่งเยตากุนและแหล่งซอติก้า) ในวันที่ 20 กรกฎาคมที่จะถึงนี้แทน Total โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องการบริโภคด้านพลังงานเป็นหลัก
ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในโครงการยาดานาจะถูกส่งขายให้กับ ปตท. ในฐานะผู้จัดหาพลังงาน ซึ่งก๊าซในส่วนนี้ราว 550 ล้านลูกบาศก์ฟุตจะถูกส่งผ่านท่อก๊าซจากฝั่งเมียนมาเข้ามายังฝั่งไทย ป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้าทั้งขนาดใหญ่และเล็ก จำนวน 12 โรง และถูกแปลงเป็นไฟฟ้าสำหรับใช้ในประเทศไทย ส่วนอีก 220 ล้านลูกบาศก์ฟุตจะถูกใช้ในเมียนมาโดยเฉพาะในกรุงย่างกุ้ง
อนึ่ง ประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเป็นกระแสไฟฟ้ามากถึง 59% (ตัวเลขเมื่อปี 2564) โดยในสัดส่วนนี้ ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมากินพื้นที่วัตถุดิบเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าไป 14% โดยแบ่งเป็นก๊าซจากโครงการยาดานา 9% โครงการเยตากุน 0.2% และโครงการซอติก้า 5% ที่บริษัทพลังงานไทยเข้าไปลงทุน ส่วนที่เหลือเป็นการนำเข้า LNG และการผลิตจากแหล่งขุดเจาะภายในประเทศ โดยโครงการยาดานานั้นทาง ปตท สผ. รวมถึง Total และ Chevron ได้เข้าไปดำเนินโครงการมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งสัมปทานในโครงการนี้กำลังจะหมดในอีก 6 ปี ข้างหน้านี้
ความฉงนสนเท่ห์ที่อาจจะถูกให้ความสำคัญน้อยไปหน่อยในข่าวนั้น คือ การที่บริษัท Unocal บริษัทลูกของ Chevron ยังคงมีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ออกมาประกาศเป็นล่ำเป็นสันว่าจะถอนการลงทุนออกไปด้วยเหตุผลเดียวกันกับ TotalEnergies ทั้งที่ทางสหรัฐอเมริกาเองก็มีการประกาศคว่ำบาตรกิจการที่เกี่ยวข้องกับคณะเผด็จการทหารเมียนหลายกิจการ…ตรงนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร แท้จริงแล้วทางบริษัทคำนึงถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดกับประชาชนเมียนมาแค่ไหน
การถอนการลงทุนของบริษัทลูกของ Total ในครั้งนี้ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน Moattama Gas Transportation Company (MGTC) เพื่อดำเนินโครงการยาดานา โดย Unocal จะขยับไปถือหุ้นร้อยละ 41.1 เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของโครงการ ตามมาด้วย ปตท. สผ. อยู่ที่ร้อยละ 37.1 และ MOGE ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจก๊าซและน้ำมัน ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงการไฟฟ้าและพลังงาน (MOEE) ถืออยู่ที่ร้อยละ 21.8
ดูเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างยิ่งที่ทาง ปตท. สผ. อ้างไว้ในการแถลงข่าวบนเว็บไซต์ตอนหนึ่ง หลังการประกาศขายหุ้นและถอนกิจการของผู้ดำเนินโครงการหลักจากฝรั่งเศสว่า “บริษัทมีความตระหนักว่าการเข้าถึงพลังงานอย่างเสมอภาคถือเป็นสิทธิมนุษยชน” คำอธิบายเช่นนี้ดูจะสวนทางอย่างมากต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเมียนมา เนื่องจากภาคประชาสังคมในเมียนมาได้เรียกร้องให้บริษัทร่วมทุนทั้ง Total, Chevron รวมถึง ปตท. ระงับการจ่ายเงินซื้อก๊าซจากเมียนมา เพราะเงินที่ได้จากโครงการเหล่านี้ได้กลายเป็นหม้อข้าวใบใหญ่ที่กองทัพเผด็จการทหารเมียนมาสามารถนำเงินในส่วนนี้ไปใช้ซื้ออาวุธ แปลงเป็นกระสุนและลูกระเบิดปราบปรามประชาชนจนเกิดวิกฤตสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมที่ล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้ว
นับแต่เผด็จการทหารเมียนมานำโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ทำการรัฐประหารยึอำนาจรัฐบาลพลเรือน เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ประชาชนเมียนมาในทุกพื้นที่ได้ออกมารณรงค์ให้บรรดาบริษัทต่างชาติที่เข้าลงทุนในเมียนมาถอนการลงทุนออกไป ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือประกอบกิจการร่วมกับกลุ่มบรรษัทที่มีกองทัพหรือครอบครัวนายทหารเมียนมาเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อป้องกันให้เกิดการสร้างความมั่งคั่งให้กับกองทัพ ซึ่งก็ได้มีบริษัทต่างชาติหลายรายถอนตัวออกไปหรือไม่ก็ระงับโครงการชั่วคราวอยู่เช่นกัน
แม้โครงการยาดานาจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายกองทัพ แต่ ณ ปัจจุบันนับแต่การยึดอำนาจของกองทัพ บริษัท MOGE ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะเผด็จการทหารไปเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้ประชาชนในหลายพื้นที่จึงได้ออกมารณรงค์ให้บริษัทที่ลงทุนในโครงการระงับการส่งเงินค่าก๊าซให้กับ MOGE ไปก่อน เนื่องจากเงินเหล่านี้จะเป็นทุนทรัพย์ให้กับกองทัพพม่านำไปใช้ซื้ออาวุธปราบปรามประชาชนที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร
ไม่ใช่แค่ประชาชนเมียนมา แต่เมื่อปีที่แล้ว องค์กรภาคประชาสังคมของไทยและเทศพยายามเรียกร้องให้ ปตท.สผ. ระงับการจ่ายเงินค่าก๊าซโครงการยาดานา ให้กับ MOGE รัฐวิสาหกิจน้ำมันและก๊าซแห่งชาติเมียนมา ของกองทัพพม่าอยู่เป็นระยะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีการกระเตื้องจากยักษ์ใหญ่พลังงานไทย มีแต่จะมุ่งหน้าเร่งจัดหาวัตถุดิบมาป้อนให้กับระบยไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อรายเดียว คือ กฟผ. ทั้งที่ในความเป็นจริงพลังงานสำรองไฟฟ้าของไทยก็กระโดดพุ่วไปถึง 40 – 50 กว่า% เกินความจำเป็นในการบริโภคไปมาก เนื่องจากกำลังไฟฟ้าสำรองที่ควรจะเป็นนั้นไม่ควรเกิน 15% ซึ่งแน่นอนว่ากำลังไฟฟ้าสำรองที่เกินมานั้นเกิดจากปัญหาในการวางแผนนโยบายด้านพลังงานของไทยที่ผู้กำหนดนโยบายคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเตอบโตแบบพุ่งทะยาน แต่สถานการณ์ความไม่แน่นอนในทางเศรษฐกิจและโรคระบาดชี้ให้เราเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดผิดมหันต์ แต่ถึงกระนั้นโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ การสร้างกำลังการผลิตใหม่ ๆ ก็ยังเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งการมีไฟฟ้าสำรองมากเกินความต้องการใช้นั้นกลายเป็นภาระของเราประชาชนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าที่จะต้องจ่าย “ค่าความพร้อมจ่าย” ของไฟฟ้าส่วนเกินที่เพิ่มเข้ามาในระบบจากการวางแผนนโยบายไฟฟ้าที่เป็นอยู่
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกทำให้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติแพง ส่งผลให้ต้นทุนราคาสินค้าพุ่งสูง หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการด้านไฟฟ้าควรจะเอากำลังไฟฟ้าสำรองที่มีอยู่มาชดเชยการใช้งานในเวลานี้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระของประชาชนที่จะต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (Take or Pay) ในรูปของค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ FT ผ่านบิลค่าไฟฟ้า ที่ขณะนี้ก็กำลังถูกปรับราคาขึ้นเป็นหน่วยละ 4 บาท…เห็นได้ชัดว่าการใช้ไฟฟ้าจากก๊าซในเมียนมาเองนอกจากจะส่งผลให้เกิดการสร้างความมั่งคั่งให้กับกองทัพเมียนมาจนสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวเมียนมาแล้ว ชาวไทยเองก็จ่ายค่าไฟ (ที่ส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซ) แพงขึ้นด้วย…ลองพิจารณากันดูว่ามีใครอีกบ้างที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้นอกจากกองทัพเมียนมา
นี่เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องตระหนักที่จะรู้ว่าก๊าซที่ถูกแปลงเป็นไฟฟ้าที่พวกเรากำลังใช้อยู่นั้นพวกเราต้องแบกรับค่าไฟที่แพงขึ้นด้วยเหตุผลอะไรและมีสิทธิจะรู้ด้วยว่ารายจ่ายค่าไฟฟ้าจะถูกแปลงเป็นอาวุธที่ไว้ใช้ปราบปรามประชาชนเมียนมาและกองกำลังชาติพันธุ์ที่ยืนเคียงข้างประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
โครงการก๊าซธรรมชาติส่งผลต่อความมั่งคั่งต่อกองทัพเมียนมาอย่างมาก นับเป็นเส้นเลือดใหญ่หรือท่อน้ำเลี้ยงหนึ่งที่สำคัญที่สุด มีรายงานจาก Justice for Myanmar องค์กรภาคประชาสังคมของเมียนมาเผยให้เราเห็นว่า เม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปีถูกส่งเข้ากระเป๋าของรัฐ โดยรายได้ในส่วนนี้มีผลต่อเงินสำรองแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเมียนมามากถึง 50% ทำให้กองทัพเมียนมาได้เงินจากตรงนี้ไป ถ้าสามารถตัดหรือระงับเงินในส่วนนี้ได้ อย่างน้อยเงินในการซื้ออาวุธของกองทัพเมียนมาอาจจะลดน้อยลง ทั้งยังเป็นการปกป้องชื่อเสียงของบริษัทสัญชาติไทยให้พ้นจากความเกี่ยวข้องกับคณะเผด็จการรัฐประหาร นับเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยในระยะยาวและเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนชาวเมียนมาในอนาคตด้วย
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมภาคประชาสังคมเมียนมาและไทย รวมถึงในระดับโลกถึงไม่เรียกร้องให้ทางบริษัทที่เกี่ยวข้องในโครงการถอนการลงทุนออกไปเสียเลยตั้งแต่แรก แต่ให้งดหรือระงับการจ่ายเงินแทน นั่นก็เพราะถ้าถอนไป ในอนาคตก็จะมีบริษัทผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาดำเนินการต่ออยู่ดี ถอนไป เงินก็ยังไหลผ่านบริษัท MOGE เข้ากระเป๋ากองทัพเมียนมาที่ต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้การระงับบัญชีของ MOGE โดยนำรายได้ทั้งหมดเก็บไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาหรือบัญชีที่ได้รับการปกป้อง (escrow account) เพื่อให้กองทัพเมียนมาไม่สามารถนำเงินในส่วนนี้ไปใช้ได้ในช่วงนี้จึงน่าจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด จนกว่ารัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตยได้รับการเลือกตั้งโดยประชาชนจะกลับเข้ามาบริหารประเทศ
แล้วหากดูกลไกในการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนของไทยแล้ว นอกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีบทบาทการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยก็ยังมีหน่วยงานอย่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรมที่เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights: NAP) อันเป็นผลพวงจากการที่ไทยไปรับหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principle on Business and Human Rights) จากเวทีทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ณ เวทีสหประชาชาติ ที่จัดขึ้นทุก 5 ปี โดยแผนนี้ประกาศใช้ไปเมื่อปลายปี 2562 (และกำลังจะสิ้นสุดอายุการใช้งานแผนในปี 2565 นี้) ซึ่งแม้จะไม่มีภาระผูกพันทางกฎหมายหรือเป็นการบังคับใช้ไปยังภาคเอกชนหรือภาครัฐ แต่ในเมื่อเรามีกลไกเช่นนี้แล้วก็ควรนำมาใช้ในการควบคุมกำกับการลงทุนทั้งใทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนด้วย ทั้งนี้เนื่องจากเป้าหมายหลักของแผนนี้คือการเป็นเครื่องมือสำหรับกำกับดูแลและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยต้องดำเนินการลงทุนอย่างเคารพสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เพียงในประเทศแต่รวมถึงการลงทุนในต่างประเทศด้วย เนื่องจาก 1 ใน 4 ประเด็นที่แผนนี้ให้ความสำคัญคือ ‘การลงทุนในต่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ’ ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ที่ขยายการลงทุนและสร้างโครงการใหญ่ ๆ ในต่างประเทศต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ นอกจากกลไกดังกล่าวแล้วก็ยังมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals ที่บริษัทต่าง ๆ ก็ดูให้ความสำคัญเป็นพิเศษผ่านรายงานความยั่งยืนที่จัดทำ (กันเอง) ทุกปี ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนและความยั่งยืนของสังคมนั้นก็ถูกสอดแทรกอยู่ในเป้าหมายต่าง ๆ ของ SDG ด้วย…ทั้งนี้ก็เพื่อจะบอกว่าธุรกิจต่าง ๆ ของตนนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น การที่ทางบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของไทยบอกว่าการเข้าถึงพลังงานก็เป็นสิทธิมนุษยชนเช่นกันนั้นดูจะผิดฝาผิดตัวไปค่อนข้างมากเมื่อพิจารณาถึงการกระทำที่อำมหิตของกองทัพเมียนมาต่อประชาชน การอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนในที่นี้จึงอาจเป็นแค่วาทกรรมยืมคำตามกระแสโลกที่ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน เพียงเท่านั้น หากพวกท่านยังคงมองไม่เห็นหรือไม่ให้ความสำคัญแก่มนุษยชนอีกด้านหนึ่งของประเทศต้นทางของพลังงานปิโตรเลียมที่กำลังถูกทำลายอยู่ในขณะนี้มากกว่าหนึ่งปีแล้ว
เราสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าการกระทำของคณะเผด็จการเมียนมานี้เป็นมากกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วไป แต่เป็นอาชญากรรมต่อมนษยชาติ หรือ crime against humanity เพราะไม่ได้มุ่งทำลายแต่เพียงฐานที่มั่นทางการทหารของฝ่ายกองกำลังชาติพันธุ์และกองกำลังปกป้องประชาชน (PDF) เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย และแหล่งทำมาหากินของประชาชนบริสุทธิ์ด้วย
ใช่ว่าที่ผ่านมาตลอดเกือบ 3 ทศวรรษที่โครงการยาดานาริเริ่มขึ้นจะไม่มีปัญหาในด้านสิทธิมนุษยชนเลยเพราะตลอดช่วงการดำเนินงานในโครงการก่อสร้างท่อก๊าซสำหรับลำเลียงก๊าซที่ขุดเจาะได้จากแหล่งยาดานาได้สร้างผลกระทบต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ท่อก๊าซพาดผ่าน ทั้งในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองทัพเผด็จการทหารเมียนมาในขณะนั้น โดยได้มีการบังคับไล่รื้อและยึดที่ดินจากประชาชนในชุมชน การบังคับใช้แรงงาน รวมไปถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุที่การก่อสร้างท่อก๊าซในครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลทหาร หลังการปราบปรามประชาชนในปี 1988 ที่พม่าจะต้องหันไปพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติในรูปการให้สัญญาสัมปทานในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่มากขึ้น แต่ด้วยความที่ประเทศเมียนมาอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารจึงทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่มีสิทธิในการออกมาเรียกร้องและใช้สิทธิของตนเองในการต่อต้านและแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการดำเนินโครงการในขณะนั้น
อย่างไรก็ตามในช่วงต้นของการรัฐประหารเมื่อปีที่แล้ว ชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก็ได้ออกมาประท้วงการยึดอำนาจของกองทัพพร้อมทั้งเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับโครงการระงัยการจ่ายเงินในโครงการให้กับกองทัพที่ผ่านทาง MOGE ไปจนถึงเรียกร้องให้พนักงานหลายคนของโครงการเข้าร่วมขบวนการอารยะขัดขืน หรือ CDM ด้วย

รายงานจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง หรือ AAPP ระบุว่าจนถึงตอนนี้ (ุ6 เมษายน 2565) ผ่านมากว่า 1 ปี หลังเกิดการรัฐประหาร มีประชาชนพลเรือนชาวเมียนมากว่า 1,730 คน ที่เสียชีวิตจากการปราบปรามของกองทัพเผด็จการทหารเมียนมา และรวมผู้ถูกจับกุมไปแล้วกว่า 13,112 ราย นอกจากนี้การปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังปกป้องประชาชน หรือ PDF และกองกำลังชาติพันธุ์จนส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นภายในทั่วประเทศแล้วกว่า 500,000 คน
นี่คือสภาพความเป็นจริงเพียงส่วนหนึ่งที่องค์กรภาคประชาสังคมพอจะบันทึกไว้ได้ ความป่าเถื่อนของเผด็จการทหารเมียนมาที่กระทำต่อประชาชนนั้นยังคงดำเนินต่อไปในทุกเมื่อเชื่อวัน และทวีความรุนแรงมากขึ้น
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการหยุดการนองเลือดประชาชนโดยกองทัพเมียนมา บริษัทร่วมทุนในโครงการยาดานา และผู้รับซื้อก๊าซอย่าง ปตท.สผ. และ ปตท. ควรหาช่องทางในการระงับการจ่ายเงินในช่วงนี้ออกไป ดังที่ภาคประชาชนเมียนมาร้องขอ ซึ่งนี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าการจัดหาพลังงานด้วยการเข้าควบคุมการดำเนินการสร้างผลผลิตจากแหล่งก๊าซดังกล่าวเช่นนี้เองก็เป็นการให้ความสำคัญถึงสิทธิมนุษยชน รวมถึงมนุษยธรรมอีกด้านหนึ่งด้วยเช่นกัน
…
อ้างอิง
https://ejatlas.org/conflict/yadana-gas-field-and-pipeline-myanmar